สวัสดีค่ะ กลับมาพบกันอีกครั้งแล้วนะ คราวนี้เรามีเรื่องดี ๆ มาแบ่งปันให้ได้อ่านกัน เป็นเรื่องราวการไปทัศนศึกษาของเราเองล่ะ ซึ่งการเดินทางของเราครั้งนี้เป็นการไปศึกษาเรียนรู้ภูมิปัญญาไทยกันที่จังหวัดปราจีนบุรีนั่นเอง ส่วนจะน่าประทับใจอย่างไรคงต้องให้เพื่อน ๆ ลองอ่านกันดูนะ บางทีเพื่อน ๆ อาจจะหลงรักการเดินทางครั้งนี้เหมือนกับเราก็ได้ : ))
การไปทัศนศึกษาครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ไปกับเพื่อน ๆ ในเอกเลยล่ะ เราตื่นเต้นเหมือนกันนะที่จะได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ คงเพราะว่าอยู่ในช่วงปิดเทอม และเราก็ไม่ได้เจอเพื่อนมาสักพักก็เลยคิดถึงผสมกับตื่นเต้นที่จะได้เจอน่ะ ฮ่า ๆ
เราออกเดินทางกันในวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 เวลาออกรถคือ 7.30 น. สำหรับคนบ้านไกลอย่างเราคงมาถึงช้าแน่ ๆ คืนวันที่ 17 เราก็เลยไปนอนค้างที่หอเพื่อนที่อยู่ใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยเพื่อความปลอดภัย จะได้มาทัน ^____^ สรุปว่าเรามาก่อนถึงเวลาออกรถอีกนะ ( ดีใจ ) และเมื่อเพื่อน ๆ ก็ทยอยมากันจนครบ ล้อทั้ง 4 ของรสบัส 2 ชั้นปรับอากาศก็หมุนพาพวกเราออกเดินทางไปยังจังหวัดปราจีนบุรี
ความประทับใจแรกของเราก็คงไม่พ้นการได้มาพบกับเพื่อน ๆ และคุณครูอีกครั้งหลังจากปิดเทอม ส่วนความประทับใจที่ 2 ของเราก็คือการได้นั่งรถบัสแอร์เย็น ๆ เบาะนุ่ม ๆ แล้วก็มีอาหารว่างอร่อย ๆ ให้กิน ถือเป็นทริปที่ยอดเยี่ยมสำหรับเราเลย ฮ่า ๆ ๆ
ออกเดินทางมาได้สักพักใหญ่ ๆ ก็มาถึงสถานที่แรกในการทัศนศึกษาของเรา นั่นก็คือ วัดแก้วพิจิตร พระอารามหลวง วัดนี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานมาก สร้างขึ้นในพ.ศ. 2422 และเมื่อเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้อพยพกลับมาจากประเทศกัมพูชาหลังจากที่ไทยเสียเมืองพระตะบองให้ฝรั่งเศส ท่านก็ได้ทำนุบำรุงวัดนี้ และตั้งขึ้นเป็นวัดประจำตระกูลอภัยวงศ์ ( ตระกูลของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ) เรารู้สึกตื่นตาตื่นใจกับวัดนี้มากเลย ถือเป็นวัดที่จัดได้ว่าเป็น Unseen in Thailand เลยล่ะ เพราะที่นี่มีสิ่งปลูกสร้างที่ผสมผสานศิลปะของหลายชาติเอาไว้ ทั้งไทย จีน เขมร และตะวันตก ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ว้าว!
เมื่อมาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือสักการะพระเพื่อเป็นสิริมลคลนั่นเอง ในพระอุโบสถซึ่งผสมผสานศิลปะหลากหลายชนชาติ มีหลวงพ่อปางอภัยทานประดิษฐานอยู่ภายใน โดยหลวงพ่อเป็นพระพุทธรูปปางอภัยทานเพียงหนึ่งเดียวในโลก ออกแบบจัดสร้างโดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเพื่อเป็นพระประธานประจำวัดและตระกูลอภัยวงศ์นั่นเอง เชื่อกันว่าหากผู้ใดได้มาสักการะพระพุทธรูปปางอภัยทานนี้ จะทำให้ได้รับการอภัยจากผู้ที่เราได้ไปทำการล่วงเกินเอาไว้ หากเป็นคนใจร้อนมานมัสการก็จะทำให้ใจเย็นลง หากเป็นคนพูดไม่มีน้ำหนัก ไม่มีใครฟัง เมื่อมานมัสการก็จะทำให้เป็นคนที่พูดจามีน้ำหนัก โน้มน้าวใจผู้ฟังได้ เรากับเพื่อน ๆ ต่างก็ดีใจที่ได้มานมัสการท่าน และยังได้รับพรจากพระสงฆ์ด้วย และถ้าใครต้องการเช่าพระพุทธรูปปางอภัยทานก็สามารถเช่าบูชาได้ที่นี่ที่เดียวเลย : ))
ภายในพระอุโบสถนี้ทำให้เราได้รู้ว่าศิลปะต่างชนชาติก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัวและเป็นเอกลักษณ์ของวัดแก้วพิจิตรแห่งนี้ ทั้งเสาแบบโรมัน โคมไฟระย้า จิตรกรรมฝาผนังทั้งลายเส้นไทย จีน และตะวันตก ลวดลายเพดาน ลายปูนปั้นประดับประตูหน้าต่างทางเดิน คงไม่มีที่ใดในโลกแล้วล่ะที่จะงดงามได้หลากหลายแบบนี้ ถ้ามีเวลาเดินชื่นชมนานกว่านี้ก็คงจะดีเหมือนกันนะ เอาไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสไปอีกเราคงเก็บรายละเอียดศิลปะต่าง ๆ เหล่านั้นให้ได้มากกว่านี้เลยล่ะ
นอกจากในพระอุโบสถแล้ว ในศาลาการเปรียญของวัดแก้วพิจิตรก็ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานอยู่อีก นั่นคือพระรัตนสุวรรณ เป็นพระพุทธรูปองค์เล็กที่ทำจากทองคำแท้ ซึ่งเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้รับพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 และที่นี่ก็ยังเก็บรักษาสิ่งของโบราณเอาไว้อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญนั่นก็คือธงรบ ซึ่งเป็นธงที่ใช้จริงในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช
เดินเล่นเดินชมกันพักเดียวเวลาสำหรับพวกเราที่วัดแก้วพิจิตรแห่งนี้ก็หมดลง พวกเราขึ้นรถกันเพื่อเดินทางไปกินอาหารเที่ยง นั่งรถไม่นานนักเรามาถึงร้านอาหารบรรยากาศดีริมแม่น้ำ อาหารที่จัดเตรียมไว้ให้พวกเรามีหลายเมนู แถมยังรสเด็ดอีกด้วย พวกเรากินกันอย่างเอร็ดอร่อยเลยล่ะ ได้กินอาหารอร่อย ๆ บรรยากาศดี ๆ กับเพื่อนอย่างนี้ ทำให้มื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยมากกว่าทุก ๆ มื้อของเราเลย : ))
เมื่ออิ่มอร่อยกันเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาไปยังสถานที่ไฮไลท์สำหรับการทัศนศึกษาครั้งนี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารเลย นั่งรถออกมาไม่ถึง 5 นาที เราก็มาถึง “โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร” กันแล้วว ว ว ว
ที่นี่ถือว่าเป็นโรงพยาบาลที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะว่ามีอาคารรูปทรงตะวันตกสวยงามตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ภายในโรงพยาบาลแห่งนี้ หากใครเคยได้ยินหรือได้ใช้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรที่มียี่ห้อ “อภัยภูเบศร” ก็ต้องร้องอ๋อกันอย่างแน่นอนเลย เพราะว่าที่นี่มีชื่อเสียงด้านการรักษาด้วยสมุนไพรไทย และนำเอาตัวยาเหล่านั้นไปทำเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพที่เข้าถึงผู้ใช้ได้อย่างสะดวกและราคาไม่แพง
รู้ไหมว่าอาคารตะวันตกสีเหลืองสวยงามที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรแห่งนี้ แต่เดิมเป็นอาคารที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศรสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าพระองค์ได้สวรรคตไปเสียก่อน อาคารหลังนี้จึงได้รับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่อมา เวลาผ่านไป อาคารหลังนี้ก็ได้เปลี่ยนหน้าที่ไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์แพทย์แผนไทยให้เราได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องราวของสมุนไพรและยาโบราณต่าง ๆ
ก่อนที่เราจะได้เข้าไปชื่นชมคุณค่าและความงามภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ พวกเราก็ได้มีโอกาสไปเดินชมสวนสมุนไพรที่อยู่ด้านหลังอาคารกันก่อน ที่นี่รวบรวมเอาพืชสมุนไพรต่าง ๆ เอาไว้ให้เราได้ศึกษาเรียนรู้ประโยชน์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ในบรรยากาศสวนที่ร่มรื่น แล้วเราก็นึกถึงสิ่งที่คุณครูพูดก่อนเดินทาง เกี่ยวกับเรื่องราวของหมอชีวกโกมารภัจน์ แพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งที่ท่านยังเรียนรู้วิชาแพทย์ อาจารย์ของท่านได้ให้บททดสอบสุดท้าย นั่นคือให้ท่านเข้าไปในป่าและค้นหาพืชที่ไม่ใช่สมุนไพรออกมาให้ได้ หมอชีวกโกมารภัจน์ก็เข้าป่าเป็นเวลาหลายวัน แต่ก็ไม่พบพืชที่ไม่ใช่สมุนไพร นั่นทำให้เรารู้ว่าพืชทุกชนิดนั้นมีฤทธิ์มีประโยชน์ทางยาทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าเราจะดึงเอาประโยชน์ของมันออกมาใช้ได้อย่างไร แล้วเราก็สะท้อนถึงตัวยาโบราณต่าง ๆ ที่บรรพบุรุษของเรานำมาใช้รักษาโรค เป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมมาเป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะได้องค์ความรู้ ดังนั้นเราที่เป็นคนรุ่นหลังก็ควรช่วยกันสืบทอดเอาไว้ไม่ให้สูญหายไป เราก็เลยรู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่มีคุณค่ามากจริง ๆ ทั้งในด้านประวัติศาสตร์และด้านการแพทย์
เดินชมสวนได้ไม่นานเราก็สัมผัสได้ถึงเม็ดฝนที่ค่อย ๆ โปรยลงมา พวกเราจึงยกขบวนเดินไปหลบฝนภายในตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และวิทยากรก็ได้แนะนำและบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของสถานที่แห่งนี้ให้พวกเราได้ฟังกัน ทั้งเรื่องราวของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ( ชุ่ม อภัยวงศ์ ) ที่แต่เดิมเคยรับราชการอยู่เมืองพระตะบอง ประเทศกัมพูชา แต่เมื่อประเทศไทยต้องเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศส ท่านก็ยอมทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตนกลับมายังประเทศไทยเพื่อรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งต้องผ่านการเดินทางที่ยากลำบากในฤดูฝน ต้องพบกับโรคและภัยอันตรายต่าง ๆ มากมาย รวมถึงเล่าเรื่องราวของสกุลอภัยวงศ์ การก่อสร้างและการบูรณะอาคารแห่งนี้ และความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่ผู้คนเชื่อกันว่าหากมาขอพรด้านความรักและการเจรจา ก็จะได้ผลที่ดีกลับไปทุกครั้ง ซึ่งหลักฐานที่แสดงให้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็คือรูปปั้นไก่ชนจำนวนมากที่ผู้คนนำมาแก้บนนั่นเองล่ะ : ))
ภายในตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรแห่งนี้ตกแต่งได้อย่างสวยงามไม่แพ้ภายนอกเลย ตั้งแต่ต้นเสา แผ่นกระเบื้องปูพื้น ประตู ลวดลายปูนปั้นไปจนถึงลวดลายปูนเปียกบนเพดาน โดยเฉพาะห้องโถงสีชมพูอ่อนด้านล่าง วิทยากรยังบอกอีกว่าห้องแห่งนี้เป็นที่สำหรับขอพรด้านความรัก ดูบรรยากาศของห้องก็เชื่อได้เลยว่าผู้ที่มาขอพรต้องสมหวังแน่นอนเลยล่ะ เพราะห้องนี้บรรยากาศโรแมนติกมากจริง ๆ : ))
เดินมาอีกนิดก็จะพบห้องถัดมา ซึ่งห้องนี้ได้ถูกดัดแปลงเป็นร้านขายยาโพธิ์เงิน เป็นที่ที่เก็บรวบรวมตัวยาสมุนไพรต่าง ๆ เอาไว้มากมาย และยังจำหน่ายยาสมุนไพรอีกด้วย
วิทยากรพาพวกเราขึ้นไปยังชั้นบนของอาคาร ชั้นสองของตึกนี้มีด้วยกันหลายห้อง และมีรูปปั้นของท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศรสำหรับสักการะด้วย เราเดินเข้ามาในห้องที่วิทยากรเล่าว่าเคยใช้เป็นห้องบรรทมมาก่อน ห้องนี้เป็นที่รวบรวมตัวยาอีกเช่นกัน และมีหนังสือสูตรยาโบราณที่เขียนด้วยลายมือ และอุปกรณ์ทำยาในสมัยโบราณอีกด้วย
เราได้ฟังบรรยายเกี่ยวกับภูมิปัญญาไทยในเรื่องสมุนไพรไทยโดยคุณหมอเบญจวรรณ ได้รู้สรรพคุณของพืชสมุนไพรต่าง ๆมากมาย พืชบางชนิดเราเองก็เคยเห็นแต่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าสามารถใช้เป็นยารักษาโรคได้ด้วย แม้กระทั่งเปลือกมังคุดก็เป็นยาที่มีฤทธิ์รักษาแผล เรียกได้ว่างานนี้เราได้รับความรู้กันเต็ม ๆ เลยล่ะ คุณหมอยังเล่าอีกว่าที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลทางเลือก ซึ่งจะเน้นรักษาแบบแพทย์แผนไทย และสมุนไพรไทยร่วมกับแผนปัจจุบัน โดยจะมีการผลิตยาสมุนไพรของทางโรงพยาบาลเอง แต่มั่นใจได้ว่ายาที่ผลิตนี้ได้มาตรฐานและรักษาได้จริง ๆ ผู้ที่บุกเบิกการรักษาแบบนี้ก็คือคุณหมอสุภาภรณ์ ปิติพร ที่ทุกวันนี้ท่านก็ยังลงพื้นที่ไปรวบรวมตำรับยาโบราณต่าง ๆ จากชาวบ้านเพื่อนำมาพัฒนาวงการแพทย์แผนไทยต่อไป
จุดประสงค์ของการจัดทำยาสมุนไพรอภัยภูเบศรก็เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ช่วยตอบสนองวิถีชีวิตของคนในสังคมให้เข้าถึงยาสมุนไพรได้ง่ายยิ่งขึ้น สร้างงานและรายได้ให้ชุมชน และสืบสานภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยให้คงอยู่ไปอีกนานเท่านาน เราได้ฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมบุคลากรของที่นี่เข้าไปอีกหลายเท่าเลยล่ะ แล้วก็ดีใจมาก ๆ ที่ภูมิปัญญาของคนรุ่นเก่าจะไม่หายไป : ))
จากที่คุณหมอได้พูดถึงสรรพคุณของสมุนไพรต่าง ๆ และได้แนะนำผลิตภัณฑ์ที่ทางโรงพยาบาลได้ผลิตขึ้น เราก็ได้ไปยังศูนย์สมุนไพรเพื่อสุขภาพอภัยภูเบศร ซึ่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทุกอย่างของอภัยภูเบศร ตั้งแต่ยารักษาโรคไปจนถึงผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เราเลือกซื้อยาดีมีคุณภาพของที่นี่ไปลองพิสูจน์ดูนิดหน่อย เพื่อน ๆ ของเราและคุณครูต่างก็มาอุดหนุนสินค้ากันจนร้านแน่นขนัดเลยทีเดียว ราคาสินค้าที่นี่ไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับคุณภาพของยาสมุนไพรไทยที่บางอย่างใช้รักษาได้ดีกว่าตัวยาต่างประเทศเสียอีก ทำให้เราเกิดความคิดว่าถ้าเกิดเราไม่สบายครั้งต่อไป เราก็อยากจะลองรักษาด้วยสมุนไพรของไทยเรานี่แหละ
ไม่ห่างกับร้านขายสินค้าอภัยภูเบศรเท่าไหร่ เราก็เจอร้านขายผักปลอดสารพิษ ซึ่งราคาถูกมาก ๆ แถมผักก็ยังดูสดและน่าอร่อยจริง ๆ เราก็เลยหอบหิ้วผักกลับบ้านถุงใหญ่เบิ้มเลยล่ะ มีผักกูด วอเตอร์เกรส แล้วก็มะนาวลูกใหญ่ ๆ อีกหลายลูก ในหัวก็คิดเมนูที่จะทำไปพลาง ๆ : ))
เลือกซื้อของกันจนหนำใจแล้วพวกเราก็ขึ้นรถเดินทางกลับกันอย่างมีความสุข
สุขที่ได้เรียนรู้เรื่องราวภูมิปัญญาอันล้ำค่าจากบรรพบุรุษ
สุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสืบต่อภูมิปัญญาเหล่านั้น
จะขอนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตและถ้ามีโอกาสก็อยากจะแบ่งปันให้ผู้อื่นได้รับความรู้เหล่านี้ และรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกหลานคนไทย ช่วยกันสืบทอดภูมิปัญญาไทยต่อไปไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา : ))