[ บันทึกการเดินทาง ] ศึกษาคุณค่าไทย ณ ปราจีนบุรี : ))

สวัสดีค่ะ   กลับมาพบกันอีกครั้งแล้วนะ   คราวนี้เรามีเรื่องดี ๆ มาแบ่งปันให้ได้อ่านกัน   เป็นเรื่องราวการไปทัศนศึกษาของเราเองล่ะ    ซึ่งการเดินทางของเราครั้งนี้เป็นการไปศึกษาเรียนรู้ภูมิปัญญาไทยกันที่จังหวัดปราจีนบุรีนั่นเอง  ส่วนจะน่าประทับใจอย่างไรคงต้องให้เพื่อน ๆ ลองอ่านกันดูนะ  บางทีเพื่อน  ๆ อาจจะหลงรักการเดินทางครั้งนี้เหมือนกับเราก็ได้ : ))

 

การไปทัศนศึกษาครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ไปกับเพื่อน ๆ ในเอกเลยล่ะ   เราตื่นเต้นเหมือนกันนะที่จะได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ คงเพราะว่าอยู่ในช่วงปิดเทอม  และเราก็ไม่ได้เจอเพื่อนมาสักพักก็เลยคิดถึงผสมกับตื่นเต้นที่จะได้เจอน่ะ  ฮ่า ๆ  

    

เราออกเดินทางกันในวันที่  18  กรกฎาคม  2557  เวลาออกรถคือ  7.30 น.  สำหรับคนบ้านไกลอย่างเราคงมาถึงช้าแน่ ๆ คืนวันที่ 17 เราก็เลยไปนอนค้างที่หอเพื่อนที่อยู่ใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยเพื่อความปลอดภัย  จะได้มาทัน  ^____^  สรุปว่าเรามาก่อนถึงเวลาออกรถอีกนะ  ( ดีใจ )  และเมื่อเพื่อน ๆ ก็ทยอยมากันจนครบ  ล้อทั้ง 4 ของรสบัส 2 ชั้นปรับอากาศก็หมุนพาพวกเราออกเดินทางไปยังจังหวัดปราจีนบุรี

 

ความประทับใจแรกของเราก็คงไม่พ้นการได้มาพบกับเพื่อน ๆ และคุณครูอีกครั้งหลังจากปิดเทอม  ส่วนความประทับใจที่ 2 ของเราก็คือการได้นั่งรถบัสแอร์เย็น ๆ  เบาะนุ่ม ๆ  แล้วก็มีอาหารว่างอร่อย ๆ ให้กิน ถือเป็นทริปที่ยอดเยี่ยมสำหรับเราเลย ฮ่า ๆ ๆ 

 

ออกเดินทางมาได้สักพักใหญ่ ๆ ก็มาถึงสถานที่แรกในการทัศนศึกษาของเรา  นั่นก็คือ  วัดแก้วพิจิตร พระอารามหลวง  วัดนี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานมาก  สร้างขึ้นในพ.ศ. 2422 และเมื่อเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้อพยพกลับมาจากประเทศกัมพูชาหลังจากที่ไทยเสียเมืองพระตะบองให้ฝรั่งเศส  ท่านก็ได้ทำนุบำรุงวัดนี้  และตั้งขึ้นเป็นวัดประจำตระกูลอภัยวงศ์   ( ตระกูลของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ) เรารู้สึกตื่นตาตื่นใจกับวัดนี้มากเลย ถือเป็นวัดที่จัดได้ว่าเป็น  Unseen in Thailand เลยล่ะ เพราะที่นี่มีสิ่งปลูกสร้างที่ผสมผสานศิลปะของหลายชาติเอาไว้ ทั้งไทย  จีน  เขมร และตะวันตก ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน  ว้าว!  

 

1

2

 

เมื่อมาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือสักการะพระเพื่อเป็นสิริมลคลนั่นเอง ในพระอุโบสถซึ่งผสมผสานศิลปะหลากหลายชนชาติ  มีหลวงพ่อปางอภัยทานประดิษฐานอยู่ภายใน  โดยหลวงพ่อเป็นพระพุทธรูปปางอภัยทานเพียงหนึ่งเดียวในโลก  ออกแบบจัดสร้างโดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเพื่อเป็นพระประธานประจำวัดและตระกูลอภัยวงศ์นั่นเอง   เชื่อกันว่าหากผู้ใดได้มาสักการะพระพุทธรูปปางอภัยทานนี้  จะทำให้ได้รับการอภัยจากผู้ที่เราได้ไปทำการล่วงเกินเอาไว้  หากเป็นคนใจร้อนมานมัสการก็จะทำให้ใจเย็นลง  หากเป็นคนพูดไม่มีน้ำหนัก ไม่มีใครฟัง เมื่อมานมัสการก็จะทำให้เป็นคนที่พูดจามีน้ำหนัก โน้มน้าวใจผู้ฟังได้   เรากับเพื่อน ๆ ต่างก็ดีใจที่ได้มานมัสการท่าน  และยังได้รับพรจากพระสงฆ์ด้วย  และถ้าใครต้องการเช่าพระพุทธรูปปางอภัยทานก็สามารถเช่าบูชาได้ที่นี่ที่เดียวเลย : )) 

 

3

 

ภายในพระอุโบสถนี้ทำให้เราได้รู้ว่าศิลปะต่างชนชาติก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัวและเป็นเอกลักษณ์ของวัดแก้วพิจิตรแห่งนี้  ทั้งเสาแบบโรมัน  โคมไฟระย้า  จิตรกรรมฝาผนังทั้งลายเส้นไทย จีน และตะวันตก  ลวดลายเพดาน  ลายปูนปั้นประดับประตูหน้าต่างทางเดิน   คงไม่มีที่ใดในโลกแล้วล่ะที่จะงดงามได้หลากหลายแบบนี้    ถ้ามีเวลาเดินชื่นชมนานกว่านี้ก็คงจะดีเหมือนกันนะ   เอาไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสไปอีกเราคงเก็บรายละเอียดศิลปะต่าง ๆ  เหล่านั้นให้ได้มากกว่านี้เลยล่ะ      

 

4

5

6.5

6

 

 

นอกจากในพระอุโบสถแล้ว  ในศาลาการเปรียญของวัดแก้วพิจิตรก็ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานอยู่อีก  นั่นคือพระรัตนสุวรรณ  เป็นพระพุทธรูปองค์เล็กที่ทำจากทองคำแท้  ซึ่งเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้รับพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 และที่นี่ก็ยังเก็บรักษาสิ่งของโบราณเอาไว้อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญนั่นก็คือธงรบ ซึ่งเป็นธงที่ใช้จริงในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช

 

 

เดินเล่นเดินชมกันพักเดียวเวลาสำหรับพวกเราที่วัดแก้วพิจิตรแห่งนี้ก็หมดลง  พวกเราขึ้นรถกันเพื่อเดินทางไปกินอาหารเที่ยง   นั่งรถไม่นานนักเรามาถึงร้านอาหารบรรยากาศดีริมแม่น้ำ  อาหารที่จัดเตรียมไว้ให้พวกเรามีหลายเมนู   แถมยังรสเด็ดอีกด้วย  พวกเรากินกันอย่างเอร็ดอร่อยเลยล่ะ  ได้กินอาหารอร่อย ๆ บรรยากาศดี ๆ กับเพื่อนอย่างนี้  ทำให้มื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยมากกว่าทุก ๆ มื้อของเราเลย : ))

 

เมื่ออิ่มอร่อยกันเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาไปยังสถานที่ไฮไลท์สำหรับการทัศนศึกษาครั้งนี้  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารเลย  นั่งรถออกมาไม่ถึง 5 นาที  เราก็มาถึง  “โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร”  กันแล้วว  ว  ว  ว

 

7

8

 

 

ที่นี่ถือว่าเป็นโรงพยาบาลที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้  เพราะว่ามีอาคารรูปทรงตะวันตกสวยงามตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ภายในโรงพยาบาลแห่งนี้  หากใครเคยได้ยินหรือได้ใช้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรที่มียี่ห้อ “อภัยภูเบศร” ก็ต้องร้องอ๋อกันอย่างแน่นอนเลย  เพราะว่าที่นี่มีชื่อเสียงด้านการรักษาด้วยสมุนไพรไทย และนำเอาตัวยาเหล่านั้นไปทำเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพที่เข้าถึงผู้ใช้ได้อย่างสะดวกและราคาไม่แพง  

 

รู้ไหมว่าอาคารตะวันตกสีเหลืองสวยงามที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรแห่งนี้  แต่เดิมเป็นอาคารที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศรสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าพระองค์ได้สวรรคตไปเสียก่อน  อาคารหลังนี้จึงได้รับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่อมา  เวลาผ่านไป อาคารหลังนี้ก็ได้เปลี่ยนหน้าที่ไปเรื่อย ๆ  จนตอนนี้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์แพทย์แผนไทยให้เราได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องราวของสมุนไพรและยาโบราณต่าง ๆ

 

ก่อนที่เราจะได้เข้าไปชื่นชมคุณค่าและความงามภายในอาคารพิพิธภัณฑ์  พวกเราก็ได้มีโอกาสไปเดินชมสวนสมุนไพรที่อยู่ด้านหลังอาคารกันก่อน  ที่นี่รวบรวมเอาพืชสมุนไพรต่าง ๆ เอาไว้ให้เราได้ศึกษาเรียนรู้ประโยชน์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน  ในบรรยากาศสวนที่ร่มรื่น  แล้วเราก็นึกถึงสิ่งที่คุณครูพูดก่อนเดินทาง  เกี่ยวกับเรื่องราวของหมอชีวกโกมารภัจน์ แพทย์ประจำพระองค์ของพระพุทธเจ้า  เมื่อครั้งที่ท่านยังเรียนรู้วิชาแพทย์ อาจารย์ของท่านได้ให้บททดสอบสุดท้าย นั่นคือให้ท่านเข้าไปในป่าและค้นหาพืชที่ไม่ใช่สมุนไพรออกมาให้ได้  หมอชีวกโกมารภัจน์ก็เข้าป่าเป็นเวลาหลายวัน แต่ก็ไม่พบพืชที่ไม่ใช่สมุนไพร  นั่นทำให้เรารู้ว่าพืชทุกชนิดนั้นมีฤทธิ์มีประโยชน์ทางยาทั้งสิ้น  อยู่ที่ว่าเราจะดึงเอาประโยชน์ของมันออกมาใช้ได้อย่างไร  แล้วเราก็สะท้อนถึงตัวยาโบราณต่าง ๆ ที่บรรพบุรุษของเรานำมาใช้รักษาโรค  เป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมมาเป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะได้องค์ความรู้  ดังนั้นเราที่เป็นคนรุ่นหลังก็ควรช่วยกันสืบทอดเอาไว้ไม่ให้สูญหายไป  เราก็เลยรู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่มีคุณค่ามากจริง ๆ  ทั้งในด้านประวัติศาสตร์และด้านการแพทย์

 

9

10

11

12

 

 

เดินชมสวนได้ไม่นานเราก็สัมผัสได้ถึงเม็ดฝนที่ค่อย ๆ โปรยลงมา  พวกเราจึงยกขบวนเดินไปหลบฝนภายในตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร  และวิทยากรก็ได้แนะนำและบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของสถานที่แห่งนี้ให้พวกเราได้ฟังกัน   ทั้งเรื่องราวของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร  ( ชุ่ม   อภัยวงศ์ ) ที่แต่เดิมเคยรับราชการอยู่เมืองพระตะบอง ประเทศกัมพูชา  แต่เมื่อประเทศไทยต้องเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศส  ท่านก็ยอมทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตนกลับมายังประเทศไทยเพื่อรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ซึ่งต้องผ่านการเดินทางที่ยากลำบากในฤดูฝน  ต้องพบกับโรคและภัยอันตรายต่าง ๆ มากมาย   รวมถึงเล่าเรื่องราวของสกุลอภัยวงศ์   การก่อสร้างและการบูรณะอาคารแห่งนี้   และความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร  ที่ผู้คนเชื่อกันว่าหากมาขอพรด้านความรักและการเจรจา  ก็จะได้ผลที่ดีกลับไปทุกครั้ง  ซึ่งหลักฐานที่แสดงให้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็คือรูปปั้นไก่ชนจำนวนมากที่ผู้คนนำมาแก้บนนั่นเองล่ะ  : ))

 

13

14

 

 

ภายในตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรแห่งนี้ตกแต่งได้อย่างสวยงามไม่แพ้ภายนอกเลย  ตั้งแต่ต้นเสา  แผ่นกระเบื้องปูพื้น  ประตู  ลวดลายปูนปั้นไปจนถึงลวดลายปูนเปียกบนเพดาน  โดยเฉพาะห้องโถงสีชมพูอ่อนด้านล่าง  วิทยากรยังบอกอีกว่าห้องแห่งนี้เป็นที่สำหรับขอพรด้านความรัก  ดูบรรยากาศของห้องก็เชื่อได้เลยว่าผู้ที่มาขอพรต้องสมหวังแน่นอนเลยล่ะ  เพราะห้องนี้บรรยากาศโรแมนติกมากจริง ๆ : )) 

 

15

 

 

เดินมาอีกนิดก็จะพบห้องถัดมา ซึ่งห้องนี้ได้ถูกดัดแปลงเป็นร้านขายยาโพธิ์เงิน  เป็นที่ที่เก็บรวบรวมตัวยาสมุนไพรต่าง ๆ เอาไว้มากมาย  และยังจำหน่ายยาสมุนไพรอีกด้วย 

 

16

 

17

 

 

วิทยากรพาพวกเราขึ้นไปยังชั้นบนของอาคาร  ชั้นสองของตึกนี้มีด้วยกันหลายห้อง  และมีรูปปั้นของท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศรสำหรับสักการะด้วย   เราเดินเข้ามาในห้องที่วิทยากรเล่าว่าเคยใช้เป็นห้องบรรทมมาก่อน  ห้องนี้เป็นที่รวบรวมตัวยาอีกเช่นกัน  และมีหนังสือสูตรยาโบราณที่เขียนด้วยลายมือ  และอุปกรณ์ทำยาในสมัยโบราณอีกด้วย

 

18.5

18.6

 

 

เราได้ฟังบรรยายเกี่ยวกับภูมิปัญญาไทยในเรื่องสมุนไพรไทยโดยคุณหมอเบญจวรรณ  ได้รู้สรรพคุณของพืชสมุนไพรต่าง ๆมากมาย  พืชบางชนิดเราเองก็เคยเห็นแต่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าสามารถใช้เป็นยารักษาโรคได้ด้วย แม้กระทั่งเปลือกมังคุดก็เป็นยาที่มีฤทธิ์รักษาแผล   เรียกได้ว่างานนี้เราได้รับความรู้กันเต็ม ๆ เลยล่ะ  คุณหมอยังเล่าอีกว่าที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลทางเลือก  ซึ่งจะเน้นรักษาแบบแพทย์แผนไทย และสมุนไพรไทยร่วมกับแผนปัจจุบัน  โดยจะมีการผลิตยาสมุนไพรของทางโรงพยาบาลเอง  แต่มั่นใจได้ว่ายาที่ผลิตนี้ได้มาตรฐานและรักษาได้จริง ๆ  ผู้ที่บุกเบิกการรักษาแบบนี้ก็คือคุณหมอสุภาภรณ์  ปิติพร  ที่ทุกวันนี้ท่านก็ยังลงพื้นที่ไปรวบรวมตำรับยาโบราณต่าง ๆ จากชาวบ้านเพื่อนำมาพัฒนาวงการแพทย์แผนไทยต่อไป 

จุดประสงค์ของการจัดทำยาสมุนไพรอภัยภูเบศรก็เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายการนำเข้ายาจากต่างประเทศ   ช่วยตอบสนองวิถีชีวิตของคนในสังคมให้เข้าถึงยาสมุนไพรได้ง่ายยิ่งขึ้น  สร้างงานและรายได้ให้ชุมชน  และสืบสานภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยให้คงอยู่ไปอีกนานเท่านาน  เราได้ฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมบุคลากรของที่นี่เข้าไปอีกหลายเท่าเลยล่ะ  แล้วก็ดีใจมาก ๆ ที่ภูมิปัญญาของคนรุ่นเก่าจะไม่หายไป  : ))

 

18

 

จากที่คุณหมอได้พูดถึงสรรพคุณของสมุนไพรต่าง ๆ และได้แนะนำผลิตภัณฑ์ที่ทางโรงพยาบาลได้ผลิตขึ้น  เราก็ได้ไปยังศูนย์สมุนไพรเพื่อสุขภาพอภัยภูเบศร  ซึ่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทุกอย่างของอภัยภูเบศร  ตั้งแต่ยารักษาโรคไปจนถึงผลิตภัณฑ์เสริมความงาม  เราเลือกซื้อยาดีมีคุณภาพของที่นี่ไปลองพิสูจน์ดูนิดหน่อย  เพื่อน ๆ ของเราและคุณครูต่างก็มาอุดหนุนสินค้ากันจนร้านแน่นขนัดเลยทีเดียว  ราคาสินค้าที่นี่ไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับคุณภาพของยาสมุนไพรไทยที่บางอย่างใช้รักษาได้ดีกว่าตัวยาต่างประเทศเสียอีก  ทำให้เราเกิดความคิดว่าถ้าเกิดเราไม่สบายครั้งต่อไป เราก็อยากจะลองรักษาด้วยสมุนไพรของไทยเรานี่แหละ   

 

19

 

ไม่ห่างกับร้านขายสินค้าอภัยภูเบศรเท่าไหร่  เราก็เจอร้านขายผักปลอดสารพิษ  ซึ่งราคาถูกมาก ๆ แถมผักก็ยังดูสดและน่าอร่อยจริง ๆ เราก็เลยหอบหิ้วผักกลับบ้านถุงใหญ่เบิ้มเลยล่ะ  มีผักกูด  วอเตอร์เกรส  แล้วก็มะนาวลูกใหญ่ ๆ อีกหลายลูก  ในหัวก็คิดเมนูที่จะทำไปพลาง ๆ : ))

 

เลือกซื้อของกันจนหนำใจแล้วพวกเราก็ขึ้นรถเดินทางกลับกันอย่างมีความสุข 

 

สุขที่ได้เรียนรู้เรื่องราวภูมิปัญญาอันล้ำค่าจากบรรพบุรุษ 

 

สุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสืบต่อภูมิปัญญาเหล่านั้น 

 

จะขอนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตและถ้ามีโอกาสก็อยากจะแบ่งปันให้ผู้อื่นได้รับความรู้เหล่านี้  และรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกหลานคนไทย  ช่วยกันสืบทอดภูมิปัญญาไทยต่อไปไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา : ))

 

 

ขอบคุณยังน้อยไป : )

13 (1)

 

“งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา”  การฝึกงานของเราก็เหมือนกัน  เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องเดินทางกลับบ้าน  เราเก็บข้าวของใส่กระเป๋าใบเดิม  แต่คราวนี้ดูเหมือนของจะเยอะขึ้นกว่าตอนที่เรามา  ไม่ใช่แต่กระเป้าที่ล้น  ใจของเราก็ล้นไปด้วยสิ่งดี ๆ มากมายเช่นกัน  เช้าวันนั้นเราก็ตื่นสายตามเคย  ( >///< ) ยังไม่ทันจะอาบน้ำแต่งตัว  เราก็เดินออกมาจากห้อง  มาดูน้อง ๆ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินทางกลับ  แล้วเราก็เห็นน้อง ๆ มาอยู่หน้าบ้านเหมือนรออะไรสักอย่าง  เราก็คิดว่าน้อง ๆ คงมารอขึ้นรถไปโบสถ์วันอาทิตย์กันตามปกติ  เราก็คุยเล่นกับน้อง ๆ  น้องหลายคนก็ถามว่าเราจะกลับวันนี้จริงเหรอ  ยังไม่อยากให้เรากลับเลย   บางคนก็มาขอเฟส ขอเบอร์ติดต่อ  บางคนก็บอกว่าต้องกลับมาอีกนะพี่เมย์  เราคิดว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ทั้งสุขและเศร้าในเวลาเดียวกัน  สุขที่รู้ว่ามีคนรักและคิดถึงเรา แต่ก็เศร้าที่ต้องจากกัน

13

สักพักพี่ฟ้าก็เรียกเราไปคุย  สักพักเราก็รู้สึกว่าเราถูกน้อง ๆ ล้อมเอาไว้  รู้สึกได้ว่าตอนนี้ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ  แล้วพี่ฟ้าก็ให้น้องตัวแทนออกมากล่าวขอบคุณเราที่เราได้มาฝึกงานที่นี่  เรารู้สึกประหลาดใจแล้วก็ดีใจกับเซอร์ไพร์สนี้เหมือนกันนะ  มันตื้นตันในใจ  รู้สึกอิ่มใจ  แล้วพี่ฟ้าก็ให้น้องมอบของที่ระลึก  น้องเตย  ( เป็นน้องอนุบาลที่เพิ่งกลับมาก่อนเราจะเดินทางกลับไม่กี่วัน  แต่เราก็เข้ากันได้ดี ) ก็เข้ามากอดเรา  พี่ฟ้าให้เราพูดอะไรสักหน่อย   เราจำได้ว่าตื้นเต้นมาก  พูดอะไรออกไปก็จำไม่ได้แล้ว  แต่ก็คิดว่าถ้าได้ฟังที่ตัวเองพูดก็คงเป็นคำพูดที่ดูประหลาด ๆ ก็ได้

แต่ถ้าเป็นเราในตอนนี้  เราก็อยากจะบอกกับน้องทุกคน  กับซิสเตอร์  กับพี่ ๆ ทุกคนว่า  ขอบคุณมากจริง ๆ ที่ได้สร้างความทรงจำที่มีค่าให้เรา   เรารู้สึกว่าเป็นฝ่ายที่ได้รับมากกว่าเป็นฝ่ายให้  สิ่งที่เราทำให้พวกเขาเทียบไม่ได้เลยกับที่พวกเขาทำให้เรา    แล้วเราก็ต้องขอโทษที่บางทีอาจจะทำให้ไม่พอใจ   อาจจะไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับบ้านมากเท่าที่ควร  แต่เราสัญญาว่าเราจะจดจำพวกเขาไว้ในความทรงจำเสมอ  จะไม่ลืมสิ่งดี ๆ ที่เราเคยได้รับจากที่นี่  และในสักวันหนึ่ง  เราจะต้องกลับไปที่ “ บ้านสวนพระหฤทัย  ลำปาง ”  อีกครั้ง แน่นอน   🙂

พายุมาโน่นแล้วเห็นไหม !!

12

ช่วงก่อนสงกรานต์ถ้ายังจำกันได้  จะมีข่าวที่ว่าภาคเหนือมีพายุใช่ไหมล่ะ  จังหวัดลำปางก็เป็นหนึ่งในจังหวัดที่ถูกพายุโจมตีนะ  ที่มีข่าวออกมาว่ามีพายุลูกเห็บตก  ลมแรงจนบ้านพัง  ป้ายโฆษณาใหญ่ล้มนั่นแหละ

เราเองก็เจอเหตุการณ์นี้มากับตัวเลยล่ะ  น่ากลัวมาก ๆ เลย    วันนั้นเป็นวันก่อนวันสงกรานต์  ตอนเย็นหลังกินข้าวเสร็จพวกเราก็ต้องเดินสวดสายประคำกัน  ระหว่างที่สวดท้องฟ้าก็เริ่มมีเค้าว่าพายุกำลังจะมา  ลมพัดแรงมาก ๆ  ไม่นานนักเราก็เดินสวดนอกบ้านไม่ได้  ต้องหลบเข้ามาในบ้าน  ลมพัดแรงมากจริง ๆ   แล้วฝนและลูกเห็บก็เทลงมาแรงมากจนมองไม่เห็นทางเลย  ฟ้าก็มืดไปหมดเพราะว่าค่ำพอดี    ไฟฟ้าก็ดับทั้งหมด  พายุข้างนอกบ้านแรงมากจน ต้นไม้ต้นใหญ่ ๆ หักโค่นลงมา   ฟ้าแลบฟ้าผ่าฟ้าร้องก็ตามกันมาไม่ขาดสาย  น้อง ๆ กลัวกันมากเลย  พวกเราสวดขอพระเจ้ากันในบ้านให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปด้วยดี   เวลาผ่านไปนับชั่วโมง  พายุฝนก็ค่อย ๆ ซาและหยุดลง  ตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว    ทุกคนก็นอนหลับกัน  พอตอนเช้าเราก็เห็นข้างนอกบ้านอาการหนักพอสมควร  ต้นไม้ใหญ่ ๆ สูง ๆ ก็หักลงมา  ต้นมะม่วงกับอโวคาโดที่กำลังติดลูกก็หัก  น่าเสียดายมากเลย       ใบไม้ร่วงเต็มถนนไปหมด  บ้านบางหลังก็ถูกน้ำฝนสาดเข้าไปจนข้าวของข้างในเปียกหมดเลย   พวกเราช่วยกันเก็บทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านกันขนานใหญ่เลย  โชคยังดีที่ไม่ได้มีอะไรเสียหายมากนักและไม่มีใครบาดเจ็บ    นี่ถือเป็นประสบการณ์ที่ระทึกใจมาก ๆ ในช่วงเวลาที่อยู่ในบ้านสวนพระหฤทัยเลยล่ะ  เราก็ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่น่ากลัวมาก ๆ แล้วก็เห็นความอดทนไม่ย่อท้อของมนุษย์  ไม่ว่าอะไรจะเสียหายก็ทำขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง   ไม่ว่าจะล้มกี่ครั้งเราก็กลับมาลุกขึ้นได้เสมอ : )

 

Say Hi : )

มาทำความรู้จักกับสมาชิกบ้านสวนกันเถอะ ^^  น้อง ๆ แต่ละคนเป็นยังไงกันบ้าง  แต่เนื่องจากที่นี่มีสมาชิกค่อนข้างเยอะ  เราก็เลยขอแนะนำคนที่เราคุ้นเคยก็แล้วกันเนอะ

พี่มะนาว     พี่มะนาวเป็นครูพี่เลี้ยง   เป็นชาวปกาเกอะญอ เรียนจบสังคมสงเคราะห์และกลับมาช่วยงานที่บ้านสวนฯ   เป็นคนตลก ๆ ใจดี  แต่ก็มีดุบ้างนิดหน่อย  ตอนแรกที่เรามาก็มีพี่มะนาวคนเดียวที่อยู่   ส่วนพี่คนอื่นกลับบ้านกัน  พี่มะนาวจะคอยสอนงานต่าง ๆ ให้เรา   เป็นที่พึ่งของเราเลยล่ะ  ตอนเราหิวก็ไปกินขนมในห้องพี่มะนาว    ตอนที่ไฟดับเราก็ไปนอนห้องพี่มะนาวด้วย  ( นอนคนเดียวตอนไฟดับเราก็กลัวนี่นา ^^ )

พี่ฟ้า     พี่ฟ้าเป็นครูพี่เลี้ยง เป็นรุ่นพี่ของพี่มะนาว  เป็นชาวปกาเกอะญอ  พี่ฟ้าก็สอนงานเราเหมือนกัน  คอยดูแลเราด้วย  ตอนที่พี่มะนาวกลับบ้านเราก็พึ่งพี่ฟ้านี่แหละ  พี่ฟ้าเป็นคนที่น่ารักและใจดีมาก  ชวนเรากินข้าวด้วยตลอดเลย  เคยขี่มอเตอร์ไซค์พาเราไปเที่ยวตลาดกับเซ็นทรัลลำปางด้วยนะ  พี่ฟ้าเคยเล่าเรื่องศาสนาคริสต์ให้ฟัง  ครั้งนั้นพี่ฟ้าพูดได้น่าฟังและอธิบายสิ่งต่าง ๆ เยอะมาก  พี่ฟ้าบอกว่าจริง ๆ ไม่ใช่คนพูดเก่งนะ ครั้งนี้พระเจ้าดลใจให้พูดให้เราฟังแน่ ๆ   พี่ฟ้าให้ชุดของชาวเผ่าปกาเกอะญอ เราด้วย   และพี่ฟ้านี่แหละที่เล่าว่าเมื่อก่อนที่ของบ้านสวนฯเคยเป็นสนามรบมาก่อน   มีคนตายเยอะมาก  เล่นเอาเราขนลุกเลย ;___;

หมี่     น้องหมี่เป็นคนที่ตัวเล็กมาก ๆ  ตอนแรกคิดว่าน่าจะอยู่ ม.ต้น  แต่จริง ๆ กำลังจะขึ้น ปวส.  เป็นชาวม้ง  เป็นคนที่เราเจอคนแรกของบ้านสวนฯ เลย  น้องหมี่จะคอยดูแลเรา   จัดหาสิ่งของที่จำเป็นให้  แนะนำสิ่งต่าง ๆ ที่บ้านให้เรา   เป็นคนที่มีความตั้งใจ  มุ่งมั่น  และขยันมาก ๆ  แล้วก็ใจดีด้วย  มีอะไรก็เอามาแบ่งเราเสมอเลย : )

ปิ่นอนงค์     น้องปิ่นจบม.6 แล้ว  และเรียนต่อที่บ้านเกิด  น้องเป็นคนภาคกลาง อยู่จังหวัดอยุธยา  แถมรูปร่างก็ยังเหมือนเราเลย  น้องปิ่นเป็นคนอารมณ์ดี  ตลก  ชอบแหย่ชอบแซวคนอื่นเล่น  เฮฮาและอัธยาศัยดี   จะคอยเป็นเพื่อนเราเสมอ  ชวนไปทำโน่นนี่ตลอด  เคยมานอนเป็นเพื่อนเราหลายครั้งเลย

น้องกิ๊บ      น้องเล็กของบ้าน  เป็นชาวอาข่า  มาที่นี่วันเดียวกับเราเลย  เรามีหน้าที่สอนภาษาอังกฤษให้น้องกิ๊บ  แล้วก็คอยดูแลน้องด้วย  เพราะน้องยังเด็กและไม่ค่อยกล้าคุยกับคนอื่น  แต่ถ้าสนิทกันแล้วน้องจะพูดเยอะมากกกกก   เรียกว่ามากกว่าคำว่าช่างพูดเลยล่ะ   เพราะว่าอยู่ด้วยกันบ่อย ๆน้องก็เลยดูเหมือนจะติดเราพอสมควรเลยล่ะ  แต่น้องก็ขี้งอนเหมือนกันนะ  มีอยู่ครั้งนึงเราเคยเผลอดุน้องแรงไป น้องกิ๊บเลยงอนไม่พูดกับเราตั้งนาน   เราต้องเอาการ์ตูนบาร์บี้มาเปิดให้ดูถึงจะหายงอน

น้องเก๊ะ     น้องเก๊ะขึ้น ม.1  ตัวเล็กมากเลย   เป็นชาวปกาเกอะญอ  แต่ไม่เห็นน้องเคยพูดภาษาปกาเกอะญอให้ฟังเลย   น้องเป็นเด็กร่าเริงมาก ๆ  ( ถ้ามากกว่านี้อีกนิดเราจะถือว่าน้องเข้าขั้นติ๊งต๊องเลยนะ  XD )  น้องเป็นเด็กน่ารัก  ชอบเต้น  ชอบการ์ตูน  คนนี้ก็ไปไหนมาไหนกับเราตลอดเลย  ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องติดเราหรือเราติดน้องกันแน่  ฮ่าๆ

แก๊งค์เด็ก ม.4

ทราย  พร  นา  แนน  หวาน  พรพนา  สุทธิดา     เป็นกลุ่มที่เราสอนพิเศษให้  เรียกว่าเด็กในสังกัดเราเองล่ะ อิอิ  ทุกคนก็น่ารักนะ  แต่บางทีก็แอบกวน ๆ นิดหน่อย  มีทั้งปกาเกอะญอ  ม้ง  และอาข่า  กลุ่มนี้ก็ถือว่าสนิทกันระดับหนึ่งนะ  เจอกันบ่อยแต่ว่าไม่ค่อยได้คุยเล่นกัน  แต่น้อง ๆ ก็ดีกับเรามากเลย  แบ่งขนมให้เรา  ชวนไปเที่ยวบ้าน  สอนภาษาปกาเกอะญอให้เราด้วย  แต่เราลืมแล้ว แหะ ๆ   บางทีก็มีงอแงบ้าง  ตอนที่เราสอนช่วงบ่าย ๆ  เพราะน้องง่วง  ( เราก็ง่วงนะ ก็เพิ่งกินข้าวเที่ยงมาอิ่ม ๆ นี่นา )

 

จริง ๆ ก็มีอีกหลายคนนะ แต่ถ้าจะให้แนะนำทั้งหมดก็คงอีกเยอะเลย   ( เอาจริงว่าน้องบางคนเรายังจำชื่อไม่ได้เลยเพราะน้องมาตอนที่เราใกล้จะกลับบ้านแล้ว )  เอาเป็นว่าทุกคนน่ารักมาก ๆ   ร่าเริง   เป็นกันเอง  ตอนแรก ๆ ก็เขิน ๆกันแต่พอเริ่มคุ้นกับเราก็คุยกันสนุกมาก ๆ เลย    อยู่ที่นี่เราก็เข้ามิสซาที่โบสถ์กับวัดน้อย  แล้วก็เดินสวดสายประคำกับน้อง ๆ ด้วยนะ   การมาอยู่ที่นี่   ถึงแม้ว่าเราจะนับถือศาสนาต่างกันกับสมาชิกของบ้าน  แต่เราก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและสนุกทุกวันเลย : )

 

มาจะเล่าให้ฟัง :)

การฝึกงานที่นี่  เราได้รับประสบการณ์ดี ๆ มากมาย  ได้ลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ  ใช้ชีวิตต่างไปจากที่เคย

เราเก็บภาพมาเป็นที่ระลึก  และอยากจะแบ่งปันให้ทุกคนได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้บ้างนะ ^^

10 (1)

นี่คือรูปวันแรกที่เรามาถึง  ตอนเย็นเรากับแม่ออกมาเดินเล่นนอกบ้านกัน  พรุ่งนี้แม่ต้องกลับบ้านแล้ว  คิดถึงแม่ ;___;

10 (2)

ตัวนี้ชื่อ มอมอ เป็นลูกวัวของบ้านสวนฯ  ชอบเล่นกับคนมากเลย  เราเดินผ่านคอก มอมอก็เดินเข้ามาใกล้ ๆ เราเลยถ่ายรูปซะเลย โทษฐานที่น่ารัก  แต่แม่มอมอดุมาก  รีบเดินมาใกล้ ๆ ลูกทันทีเลย   อดเล่นกับมอมอ  -___-

10 (3)

นี่คือน้องปิ่น  น้องปิ่นเป็นน้อง ม.6 เรียนจบแล้วและกำลังจะกลับไปเรียนต่อที่บ้าน  น้องปิ่นคอยเป็นเพื่อนเราตลอดเลย  เป็นน้องที่สนิทมาก ๆ  นี่คือกำลังตัดผักแก่ ๆ ไปหั่นเป็นอาหารให้หมูกัน  : )

10 (4)

น้อง ๆ เรียกเจ้านี่ว่า คอนโด  เพราะว่ามันสูงและมีหลายชั้น  จริง ๆ ก็คือผักสลัดแก่นั่นเอง

10 (6)

หักผักสลัดต้นเมื่อกี้ไปให้น้องหมูกิน   ตื่นเต้นกับหมูมาก  และเหม็นขี้หมูมากเช่นกัน ( แป่ว! )

10 (5)

น้อง ๆ กำลังว่ายน้ำเล่นกัน  สนุกจนเราต้องขอเล่นด้วยเลย  นี่คือเรากำลังเดินขึ้นสะพานไม้ เตรียมโดดลงคลอง ฮ่า ๆ

10 (7)

แอบข้ามถนนไปเที่ยวสวนฝรั่งของชาวบ้านฝั่งตรงข้ามกับลูกสมุน  น้องเก๊ะกับน้องอรพิน  ในรูปดูเหมือนน้องจะเจออะไรดี ๆ อยู่ริมตลิ่งนะ

10 (8)

วันนี้มี EVENT พิเศษก็คือ  มัดหอมแดง ! ! เลือกหัวดี ๆ  เอาเปลือกด้านนอกที่ดำ ๆ ออก  คัดหัวที่เสียออกมา แล้วก็ มัด มัด มัด   ทุกคนมาทำด้วยกันหมดเลย   : )

10 (9)

พิธีมิสซาบนวัดน้อยที่บ้านสวนฯ  มีคุณพ่อจากโบสถ์มาทำมิสซาทุกวันอังคารและพฤหัส  ตอนนี้กำลังรับศีลมหาสนิท ^_^

10 (10)

วันนี้ไปโบสถ์  นี่คือมิสซาเทศกาลปัสกา (อีสเตอร์)  เป็นเทศกาลที่พระเยซูจะคืนพระชนม์ชีพจากความตาย   จะคลุมผ้ารูปพระเยซูที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนเอาไว้

เรียนรู้และเติบโต

9 (3)

 

การมาฝึกงานที่นี่  ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งดี ๆ ทั้งจากผู้คนและจากการทำงานต่าง ๆ  ได้รับความรู้สึกที่ดีของการเป็นผู้ให้  และเป็นผู้รับ เราได้ข้อคิดดี ๆ ที่จะนำมาปรับใช้กับตัวเองต่อไป

จากการที่เราเป็นคนที่แตกต่างจากน้อง ๆ ทั้งเรื่องศาสนาและวิถีชีวิต   ทำให้ได้รู้ว่าความแตกต่างนี่แหละเป็นสิ่งที่ดี  ถึงจะดูเหมือนเป็นอุปสรรค  แต่ก็ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ   เพื่อที่จะเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น   เราต้องยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่น  เปิดใจเรียนรู้ความแตกต่างและยอมรับซึ่งกันและกัน : )

เราจะต้องพึ่งพาตนเองได้  เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระของคนอื่น  และการพึ่งพาตนเองได้ก็ยังเป็นสิ่งที่บอกว่าเราสามารถเป็นที่พึ่งพาของผู้อื่นได้เช่นกัน     คนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน  การที่มาจากชนกลุ่มน้อยหรือด้อยการศึกษาไม่ได้หมายความว่าคุณค่าความเป็นคนของเขาน้อยกว่าเรา  อย่ามองแต่เพียงเปลือกนอก    และอย่าใช้ไม้บรรทัดของตัวเองเป็นเครื่องมือตัดสินผู้อื่น   คนเรามีความแตกต่างกัน  ประสบการณ์ที่ได้รับมาก็แตกต่างกันไป  สิ่งที่ดีสำหรับคนหนึ่ง  สำหรับอีกคนหนึ่งแล้วอาจเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ก็ได้

ให้โอกาสกับทุกคน  อย่าจำกัดว่าจะต้องเป็นคนที่เก่งเท่านั้น  คนที่ไม่เก่งหรือไม่เคยลองทำก็ควรได้รับโอกาสเช่นกัน  เมื่อเราให้โอกาสกับคนที่ไม่เก่งนั่นก็เท่ากับให้เขาได้เรียนรู้และนำไปพัฒนาต่อไป

การทำงานไม่จำเป็นต้องเข้มงวดหรือจริงจังเกินไป  การพักก็เป็นส่วนหนึ่งของงานเช่นกัน  เพราะเป็นเวลาที่เราจะได้หยุดพักและเตรียมพร้อมที่จะทำงานต่อไป  หากรู้สึกเหนื่อยหรือเครียดกับการทำงานก็พักเสียบ้าง  มันดีกับร่างกายและจิตใจเลยล่ะ

ไม่ว่าใครต่างก็ต้องการเพื่อนทั้งนั้น  ไม่มีใครอยู่ได้ตามลำพัง  การเอาใจใส่ซึ่งกันและกันไม่จำเป็นต้องให้แต่เฉพาะกับเพื่อนเท่านั้น  คนรอบข้างเราไม่ว่าจะสนิทกันหรือไม่ก็ควรใส่ใจเช่นกัน

หน้าที่ของหัวหน้านอกจากจะเกี่ยวกับเรื่องงานแล้ว  เรื่องคนในปกครองก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ   การให้ความสำคัญ  คอยพูดคุยถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ  ถามความเป็นอยู่ หรือเรื่องราวที่ไม่สบายใจก็เป็นเรื่องสำคัญ  หากคนในปกครองไม่มีความสุขแล้วผุ้ปกครองจะมีความสุขได้อย่างไร

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก : )

บางทีก็ลำบากเหมือนกันนะ :’((

การใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านสวนพระหฤทัยของเรา  บอกได้เลยว่ามีความสุขและสบายใจมาก ๆ   แต่ก็นั่นแหละเนอะ  บางทีเราก็รู้สึกกังวลเหมือนกัน  (แค่บางทีจริง ๆ นะ)  เรื่องปัญหาต่าง ๆ ก็พอมีบ้าง  เป็นปัญหาส่วนตัวมากกว่า   อย่างเช่นเรื่องแรกก็คงเป็นเรื่องที่  น้อง ๆ ชอบคุยกันเป็น ภาษาของตัวเอง  น้องอาข่าก็กลุ่มนึง  น้องปกาเกอะญอก็อีกกลุ่มนึง  น้องม้งก็อีกกลุ่มนึง  เราฟังไม่รู้เรื่องอ่ะ  รู้สึกแปลกแยก   เราก็เลยแอบน้อยใจ  ;__;

เรื่องที่สองก็คือเรื่องการติดต่อสื่อสารจ้ะ   เรื่องสัญญาณโทรศัพท์  ที่นี่คลื่น d-tac  ติดยากมาก ก ก   เวลาเราจะติดต่ออะไรกับที่บ้านหรือคุยกับเพื่อน ๆ หรือคุยธุระอะไรก็แล้วแต่ที่ต้องใช้โทรศัพท์  เราก็ต้องหาจุดที่พอจะมีคลื่นแล้วไปสิงสถิตแถว ๆ นั้น   ดังนั้นเวลาจะติดต่ออะไรกับใคร  ถ้าเป็นเรื่องด่วนแล้วเราอยู่ที่ที่ไม่มีคลื่นคือหมดสิทธิ์นะ   ส่วนอินเตอร์เน็ต  ที่นี่ใช้แอร์การ์ดจ้ะ  ซึ่งสัญญาณก็ไม่ต่างจากโทรศัพท์เราเท่าไหร่  แต่ดีกว่านิดหน่อย  เพราะว่าแอร์การ์ดเป็นของ truemove ซึ่งมีเสาสัญญาณแถว ๆ นี้   (จริง ๆ ก็ห่างไปไกลอยู่เหมือนกัน  ;___; )  อืม  ก็ลำบากพอสมควรกับเรื่องนี้นะ   เพราะช่วงแรก ๆ ที่อยู่เราก็คิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อน  แต่ติดต่อลำบากจริง ๆ :’((

เรื่องที่สามก็คือ   เรื่องเสื้อผ้า  เราเตรียมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างเป็นทางการไปเยอะเลยล่ะ  พวกเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว  ค่อนข้างจะเป็นชุดทางการนะ  ส่วนชุดลำลองก็เตรียมไป 3 – 4 ชุด  ( รวมชุดที่ใส่เวลานอนด้วยนะ ) ก็ตอนแรกคิดว่าคงจะได้ทำงานสอนเป็นหลักทั้งวัน   แต่พอมาถึงแล้ว  งานช่วงเช้าเป็นงานออกสวนกับงานทำความสะอาด  เราก็เลยคิดว่าใส่ชุดลำลองสะดวกกว่า   ไป ๆ มา ๆ ก็ใส่อยู่แค่ชุดลำลอง   ชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวก็เลยเป็นหมันไป  นาน ๆ ทีถึงจะหยิบมาใส่     เราก็เลยต้องขยันซักผ้า ( ด้วยมือ ) ทุกวันเลย  เดี๋ยวไม่พอใส่  แหะ ๆ

ส่วนเรื่องสุดท้ายก็คือเรื่องการตื่นสายของเราเอง  เรานอนในห้องคนเดียว  และ  ในบ้านนั้นมีแค่เราคนเดียว  ถึงจะตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ก็เถอะ  ไม่มีคนปลุกเราก็ขี้เซาเกินไปน่ะ    กว่าจะลุกก็ 7 โมงครึ่งไปแล้ว  (เราเริ่มงานประมาณ 8 โมงเช้า)  และน้อง ๆ ที่นี่ก็กินข้าวเช้ากันไวมากและเยอะมากกกก  เราไปแทบไม่เคยทันเลย  กับข้าวหมดก่อน    แง ๆ  บางทีก็ต้องเจียวไข่กินเอง  อดกินกับข้าว ;_______;

 

มากกว่าการทำงานก็คือความประทับใจ : )

การได้มาฝึกงานที่นี่  นอกจากมาเรียนรู้  ฝึกการทำงานในสถานสงเคราะห์ว่ามีระบบการทำงานอย่างไร  รูปแบบงานเป็นอย่างไร  เราก็ยังได้รับความประทับใจดี ๆ กลับมาด้วยอีกมากมายเลยล่ะ

ความประทับใจแรกของเราก็คือ ประทับใจที่น้อง ๆ ทักเราว่าเราหน้าเด็ก  XD น้องบอกว่านึกว่าเราจะมาเรียนต่อมอปลายที่นี่ซะอีก  ( ได้ฟังแล้วมันดีใจยังไงบอกไม่ถูกแฮะ ฮ่าๆ ๆ )   ต่อมาคือประทับใจสถานที่  ที่นี่มีพื้นที่กว้างมาก ๆ มีสีเขียว ๆ ของต้นไม้  มีต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น  อากาศดี  ( ถึงแดดจะร้อนมากก็ตาม ;__; )  ประทับใจกิจกรรมต่าง ๆ ของบ้าน    อย่างงานสวนที่ทำตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง  และไม่พึ่งพาสารเคมี   การมาฝึกงานที่นี่ได้เรียนรู้ขั้นตอนการทำการเกษตรต่าง ๆ ทำให้เห็นคุณค่าของอาหารมากขึ้น  ได้ทานอาหารที่ปลอดสารพิษ  และได้ออกกำลังกายด้วย J     และที่สำคัญที่สุดก็คือ ประทับใจซิสเตอร์และพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคน  ที่ให้ความเป็นกันเอง  คอยห่วงใยและดูแลเราอย่างดีและอบอุ่นมาก ๆ  เรารู้สึกได้ถึงความน่ารักและความเป็นครอบครัวที่สมาชิกของบ้านนี้ได้มอบให้  ขอบคุณมากนะคะ  ขอบคุณจริง ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกถึงความรัก   ความเอื้ออาทร  ความเป็นครอบครัว   นี่เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดที่เราได้มาจากบ้านสวนพระหฤทัย  รอยยิ้มของทุก ๆ คนจะอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป  สัญญาว่าจะไม่มีวันลืมเลยค่ะ

………………………………………………………………………………………………….

ตั้งใจว่าจะต้องกลับไปเยี่ยมอีก  ( หลาย ๆ ) ครั้งเลยล่ะ ^_____^

งานหลวงอย่าให้ขาด งานราษฎร์อย่าให้เสีย

การฝึกงานของเราอยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่  น้อง ๆ ส่วนใหญ่ก็จะกลับบ้านไปแล้ว  (  ที่นี่จะให้น้องกลับบ้านได้ในช่วงปิดเทอมจ้ะ )  ส่วนน้องที่อยู่ก็จะเป็นเด็กเก่าที่ต้องรอแก้ผลการเรียน   เด็กที่เปลี่ยนระดับช่วงชั้น  และเด็กที่เข้าใหม่ปีนี้  ซึ่งต้องมาปรับตัวสำหรับการใช้ชีวิตที่นี่และปรับพื้นฐานการเรียน   อยากรู้ใช่ไหมล่ะว่าอยู่ที่นี่เราได้ทำอะไรบ้าง ^^  ภารกิจสำหรับเด็กฝึกงานตำแหน่ง “ ครูพี่เลี้ยง ”  ที่เราได้รับก็คือ . . . . . . .

งานแรก  คือการไปเป็นผู้สังเกตการณ์  คอยดูแลน้อง ๆ ทำกิจกรรมโครงการค่ายเยาวชนสมานฉันท์  เป็นโครงการของจังหวัดลำปางซึ่งนำเยาวชนทั้ง 5 ศาสนามาทำกิจกรรมเรียนรู้ความแตกต่างซึ่งกันและกัน  กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นกิจกรรมที่ดีมาก ๆ เลย  เราเองก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาอื่น ๆ  ว่ามีแนวคิดอย่างไร  ซึ่งทุกศาสนาต่างก็สอนให้เราอยู่ร่วมกันอย่างพี่น้อง  ถึงจะต่างความเชื่อ  แต่ก็ช่วยเหลือเกื้อกูลและอยู่ร่วมกันได้   เราต้องยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่น  เปิดใจเรียนรู้และยอมรับซึ่งกันและกัน  นอกจากนี้ก็ยังได้ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่หมู่บ้านท่าส้มป่อย   หมู่บ้านตัวอย่างในจังหวัดลำปาง   ถือเป็นงานที่ทำให้เราได้ทำความรู้จักกับน้อง ๆ และจังหวัดลำปางมากขึ้น  งานนี้เป็นงานที่ค่อนข้างสบาย ๆ   แถมได้ออกนอกสถานที่ไปเที่ยวด้วย  ( ข้อหลังนี่แหละประเด็น อิอิ ) พอจบกิจกรรมเราก็ได้ทำรายงานกิจกรรมส่งให้ซิสเตอร์  เก็บเป็นผลงานของบ้าน

6 (2) 6 (1) 6 (5) 6 (4)

…………………………………………………………………………………………………..

งานประจำของเราก็คือการเป็นครูพี่เลี้ยง  หน้าที่หลัก ๆ ของเราจะเกี่ยวกับการสอนหนังสือ  ส่วนการดูแลน้อง ๆ เราก็ไม่ค่อยได้ลงลึกมากนัก  เพราะน้อง ๆ ก็จะมีพี่เลี้ยงประจำตัวคอยสอนอยู่แล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง  และการที่พี่น้องช่วยเหลือกันก็เป็นสิ่งที่เราประทับใจมาก  ถึงจะไม่ได้มาจากที่เดียวกัน  แต่เมื่อมาอยู่ที่บ้านสวนพระหฤทัยแล้วทุกคนก็คือพี่น้องกัน    ย้อนกลับมาที่งานของเราต่อ ^^  เรารับหน้าที่สอนน้องชั้น ม.4  จริง ๆจะเน้นทบทวนความรู้ตั้งแต่ ม.1– 3 มากกว่า  เพราะระหว่างนี้น้องจะต้องไปสอบเข้าโรงเรียนด้วย  นอกจากนี้เราก็มีหน้าที่สอนภาษาอังกฤษให้น้อง ป.4  (ซึ่งมีคนเดียว ฮ่าๆ )    เวลาเราสอนก็จะใช้การอ่านให้ฟังและให้จดตาม  ( เพราะว่าเราไม่มีกระดาน ;_; ) แล้วก็ช่วยกันทำแบบฝึกหัด    ม.4  เราทบทวนหลาย ๆ วิชา  รวมถึงการอ่าน  การเขียน ( น้องบางคนพูดไม่ชัด  เวลาเขียนก็เลยชอบเขียนผิดตามที่พูด )   ฝึกให้แปลศัพท์  สรุปความ   เป็นต้น    ส่วน ป . 4 เราก็ให้น้องหัดท่องและเขียนภาษาอังกฤษ  เพราะว่าน้องยังทำไม่ได้  มีแบบฝึกหัดและกิจกรรมอื่น ๆ เช่นวาดภาพ   ตัดแปะ  เป็นต้น    น้อง ๆ ที่นี่เรื่องการเรียนโดยเฉลี่ยแล้วไม่โดดเด่นนัก  เพราะว่าน้องมาจากโรงเรียนใบชนบท   เด็กมัธยมบางคนยังไม่รู้วิธีการเปิดปิดคอมพิวเตอร์   การได้มาสอนให้น้อง ๆ ได้ความรู้   บางอย่างเราอาจจะมองว่าเป็นแค่ความรู้พื้นฐาน  แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นและมีค่ากับน้อง ๆ ที่นี่  ทำให้เรายินดีและภูมิใจที่ได้ช่วย  รู้สึกว่าตัวเองก็เป็นคนที่มีคุณค่ากับผู้อื่น  เป็นความรู้สึกที่ได้แบ่งปัน ซึ่งทำให้เรามีความสุขนะ ^___^

6 (6) …………………………………………………………………………………………………..

งานที่ทำให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานของสถานสงเคราะห์ก็คือ  การทำงานธุรการ  ในช่วงที่เราฝึกงานเป็นช่วงภาคเรียนใหม่  ทำให้ได้เห็นการทำงานมากพอสมควร  ทั้งการเตรียมเอกสารสำหรับการสมัครของน้อง ๆ  การทำทะเบียนประวัติ  การทำรายการบัญชีค่าใช้จ่าย  การทำบันทึกบ้าน   การต่ออายุสถานสงเคราะห์   การทำแฟ้มผลงานของบ้านเพื่อนำไปรายงานคณะภคิณีพระหฤทัยฯ   เราได้ช่วยงานต่าง ๆ และได้ทำงานเองเต็มตัวก็คือการสมัคร e – mail ให้กับน้อง ๆ ตั้งแต่ มัธยมต้นถึงมัธยมปลาย  ( น่าจะประมาณห้าสิบกว่าคน )  พอสมัครเสร็จก็เอียนคอมพิวเตอร์ไปเลย =_+

งานอีกอย่างที่เราชอบมาก ๆ ก็คือ  การได้เป็นนักเรียนภาษาจีน  >____<    นอกจากจะมาฝึกงานแล้วยังได้ความรู้เพิ่มเติมด้วย  คือดีงามมาก ฮ่าๆ       อันที่จริงซิสเตอร์ให้เราเรียนเพื่อจะเอาความรู้มาทบทวนให้น้องต่อ   ก็คือจะมีคุณครูภาษาจีนจากโรงเรียนอรุโณทัยมาสอนซัมเมอร์ให้  เราก็เรียนในคาบพร้อม ๆ กับน้องนั่นแหละจ้ะ  แต่น้อง ๆ บางคนอาจจะตามไม่ทัน  เราก็เลยได้เป็นครูภาษาจีนมือสมัครเล่นไปด้วยอีกตำแหน่ง  เท่เนอะ  B-)

6 (7)

 

…………………………………………………………………………………………………..

งานสุดท้ายที่เราได้ทำก่อนกลับก็คือเป็นผู้ช่วยซิสเตอร์สุปาณีในการอบรมปฐมนิเทศน้อง ๆ  ( ซิสเตอร์เป็นวิทยากรพิเศษที่มาจากอาราม )  เราได้ช่วยเปิดสไลด์  คอยดูว่าซิสเตอร์พูดถึงช่วงไหนต้องเปลี่ยนสไลด์ตอนไหน  เป็นงานที่ดูเหมือนจะง่าย  แต่จริง ๆ ก็ไม่ง่ายเท่าไหร่นะ  เราเจอปัญหาแรกก็คือลำโพงเสียบคอมแล้วเสียงไม่ออก  จนต้องแก้ปัญหาด้วยการเอาไมค์จ่อคอมแทน  แต่โดยรวมก็เป็นงานที่สนุกดี  ได้ไปฟังเรื่องราวดี ๆที่ซิสเตอร์นำมาอบรมน้อง ๆ  ได้ข้อคิดที่ดีหลายอย่างเลยล่ะ ^^

6…………………………………………………………………………………………………..

จ๊อบหลัก ๆ ของเราก็อย่างที่ได้อ่านไปแล้วแหละจ้ะ  ตอนนี้มาดูจ๊อบเสริมที่เราได้ทำบ้างดีกว่า     ก็เป็นงานดูแลน้อง ๆ แล้วก็งานบ้านต่าง ๆ ล่ะจ้ะ   อย่างเช่น  คอยคุมน้อง ๆ เวลาเล่นน้ำ  ที่บ้านสวนจะมีคลองชลประทาน  เวลาเขาปล่อยน้ำมาก็จะลงไปเล่นได้จ้ะ  ซิสเตอร์ให้เด็ก ๆ ฝึกว่ายน้ำไว้  เผื่อว่าตกน้ำจะได้เอาตัวรอดได้  งานนี้เราก็เลยได้เป็นเซฟการ์ดคอยดูความปลอดภัยน้อง ๆ แต่จะให้ยืนดูเฉย ๆ ก็กระไรอยู่  เราเลยไปดูแลน้อง ๆ ถึงในคลองเลย  ( อดใจไม่ไหวอยากเล่นบ้าง  อิอิ )   ต่อมาก็คืองานรับผิดชอบห้องสมุดของบ้าน  ราจะมีหน้าที่ทำความสะอาดและดูแลความเรียบร้อย  คอยดูแลเวลาน้อง ๆ มาใช้ห้องสมุด    ( ได้อ่านหนังสือด้วย  บางเล่มเราอยากอ่านมานานก็ได้อ่าน  อย่างเช่นเรื่องกุชโฉ่  หนังสือของ Dr.seuss   ชอบเลย อิอิ )  เรายังได้เป็นแม่ค้าด้วยนะ  ทุกวันอาทิตย์ที่บ้านจะเก็บผัก และผลไม้ไปขายที่โบสถ์  เราก็ได้ไปช่วยขายด้วย  ( วันอาทิตย์ชาวคริสต์ก็จะไปเข้ามิสซากัน  ส่วนเราก็เฝ้าโต๊ะและขายอยู่ด้านนอก )  นอกจากนี้ก็เป็นงาน เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการช่วยทำความสะอาดบ้านแต่ละหลัง  รดน้ำต้นไม้ในสวน  ช่วยแม่ครัวทำอาหาร  ถอนหญ้า  เก็บใบไม้ และอีกมากมาย  ทุกอย่างสนุกหมดเลย  ถึงบางงานจะเหนื่อยบ้าง  แต่เราก็ไม่รู้สึกแย่นะ  อาจจะเป็นเพราะว่าได้อยู่กับน้อง ๆ เวลาทำงานได้คุยกันเล่นกันบ้าง ก็เลยทำงานอย่างสบายใจ  มีเพื่อนทำงานตั้งเยอะแน่ะ ไม่เหงาหรอก  >___<

6 (8) 6 (9) 6 (12)

แนะนำบ้านสวนพระหฤทัย ลำปาง

5 (1)

……………………………………………………………………………………………

บ้านสวนพระหฤทัยลำปาง เป็นบ้านสงเคราะห์เด็กกำพร้า และเด็กที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา ( เขตภาคเหนือ ) ซึ่งมีคณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพเป็นเจ้าของ นอกจากจะเป็นสถานที่รับอุปการะเด็กกำพร้าและยากจนแล้ว  บ้านนี้ยังเป็นสถานที่สำหรับพัฒนาบุคลากรด้วย  มีส่วนสำหรับใช้จัดสัมมนาหรือจัดกิจกรรมสำหรับสมาชิก  เยาวชน  และหน่วยงานต่าง ๆ  ของพระศาสนจักรอีกด้วย

ที่อยู่คือ  บ้านเลขที่ 214 หมู่ 5 บ้านต้นต้อง ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง 52000  ที่นี่จะรับสมาชิกไม่เกิน 100 คน  ตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงอุดมศึกษา  มีทั้งคนไทยและชนเผ่าต่าง ๆ ได้แก่  ปกาเกอะญอ  ม้ง  อาข่า

ช่วงที่เรามาฝึกงาน มีน้อง ๆ ทั้งหมด 70 คน    เด็กส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้หญิง  (บรรยากาศเดียวกับที่เอกวรรณกรรมเด็กเลย  ทรัพยากรชายน้อยนิด .__.  )

……………………………………………………………………………………………

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ผู้รับผิดชอบดูแลที่นี่ก็คือซิสเตอร์อธิการและซิสเตอร์อีกท่านซึ่งเป็นผู้ช่วย   โดยในปีนี้ซิสเตอร์ปรียะจิตต์เป็นซิสเตอร์อธิการ  ส่วนซิสเตอร์อารียาเป็นซิสเตอร์ผู้ช่วย  ซึ่งซิสเตอร์ทั้งสองท่านก็จะรับผิดชอบทุกอย่างตั้งแต่ งานธุรการ  งานเกี่ยวกับศาสนา     จัดการเรื่องเกี่ยวกับการเรียนของน้อง ๆ ไปจนถึง งานบ้านและงานสวนทั้งหมดเลย  ส่วน หน้าที่ที่สามารถให้คนอื่นช่วยทำได้จึงถูกมอบหมายมาให้ “ครูพี่เลี้ยง” รับผิดชอบช่วยเหลือซิสเตอร์   ซึ่งครูพี่เลี้ยงทั้งหมดในตอนนี้ก็มาจากสมาชิกของบ้านนั่นเอง  เมื่อเรียนจบแล้วถ้ามีความชอบในงานด้านนี้ก็สามารถเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลน้อง ๆ ได้ โดยซิสเตอร์จะเลือกคนที่มีความสามารถและความประพฤติดีมาช่วยงาน  เพราะเด็กที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อนก็จะรู้งานและเข้าใจน้อง ๆ  ครูพี่เลี้ยงจะมีหน้าที่คอยดูแลน้อง ๆ ทั้งเรื่องการเรียนและการใช้ชีวิต  รวมถึงงานต่าง ๆ ที่ซิสเตอร์จะมอบหมายให้ดูแลด้วย เช่น เรื่องงานธุรการ  สหการ เป็นต้น   นอกจากนี้ก็มีพี่ ๆ พนักงานประจำของบ้านสวนฯด้วย    มีฝ่ายที่ทำหน้าที่แม่ครัว  และฝ่ายดูแลสวน

……………………………………………………………………………………………

5 (2)

บ้านสวนพระหฤทัยลำปาง  ใช้บรรยากาศของครอบครัว  มีซิสเตอร์เปรียบเสมือนพ่อแม่  จะจัดให้เด็ก ๆ อยู่กันเองตามบ้าน  พี่ดูแลน้อง   โดยมีครูพี่เลี้ยงอยู่ประจำแต่ละบ้าน   คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน   พี่เลี้ยงปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างก่อนแล้วให้น้องเลี้ยงปฏิบัติตาม   พี่เลี้ยงจะดูแลทุกๆอย่าง ติดตามจนกว่าจะสามารถช่วยเหลือตนเองได้แล้วจะค่อยๆปล่อย   เป็นการช่วยให้น้องสามารถช่วยเหลือตนเองได้

……………………………………………………………………………………………

มีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับศาสนาเช่น การเรียนคำสอน  การสวดวัตรเช้า วัตรค่ำ  สวดสายประคำ  นั่งสมาธิ  และเข้าร่วมมิสซาที่โบสถ์แม่พระประจักษ์เมืองลูร์ด  ลำปาง เพื่อพัฒนาจิตใจและปลูกฝังคุณธรรมความดี   น้อง ๆ ทุกคนจะได้เรียนในสถานศึกษาที่ดี  ทั้งโรงเรียนเอกชนและรัฐบาลตามศักยภาพของตนเอง  รวมถึงให้น้อง ๆ เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม  ฝึกวินัยและ เรียนรู้มารยาทต่าง ๆ  รู้จักการวางตัวกับเพื่อนพี่น้องและผู้ใหญ่  และร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการทำเพื่อส่วนรวม  เช่น  การบำเพ็ญประโยชน์ในวันสำคัญต่าง ๆ

……………………………………………………………………………………………

บ้านสวนพระหฤทัยมีบ้านต่าง ๆ ทั้งหมด 11 หลัง  แบ่งเป็นบ้านพักของเด็ก ๆ   บ้านซิสเตอร์    บ้านพนักงาน  และอาคารเอนกประสงค์สำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ  มีพื้นที่สวนและพื้นที่สำหรับทำการเกษตรแยกไปอีกส่วนหนึ่ง   โดยบ้านพักของเด็กแต่ละหลังจะเป็นบ้านสองชั้น  อยู่ได้ประมาณ 15 คน

ที่นี่จะมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่นอุปกรณ์การเรียน ยานพาหนะ  เครื่องคอมพิวเตอร์ และอื่นๆโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายจากเด็กเลย  น้อง ๆ ที่จะมาที่นี่จะมาจากการลงพื้นที่ไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ  หรือได้รับการติดต่อจากบาทหลวงประจำหมู่บ้านนั้น ๆ  หรือจากหน่วยงานอื่น  หรือจากคนที่รู้จัก  คอยรับอุปการะเด็กที่ยากจนขาดโอกาสมาอบรมและให้การศึกษาแก่เด็กเหล่านั้น

รายได้ที่บ้านสวนพระหฤทัยได้รับจะมาจากคณะภคิณีพระหฤทัยฯ  , จากการขายผลผลิตในสวน  และจากการบริจาคจากผู้ใจบุญ

……………………………………………………………………………………………